เรื่องราวของไมโครเวฟ
ข้อมูลดังต่อไปนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ที่ใช้ไมโครเวฟในการต้มน้ำบ่อยๆ
ประมาณสองสัปดาห์ที่แล้ว ลูกชาย (อายุ 26 ปี)
ของผู้เขียนต้องการที่จะชงกาแฟแบบซองสำเร็จรูป
เขาใส่น้ำลงในถ้วยกาแฟแล้วนำไปใส่ในเตาไมโครเวฟเพื่ออุ่นให้ร้อน
(ซึ่งเคยทำมาแล้วหลายๆครั้ง)
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าลูกชายตั้งเวลาไว้นานแค่ไหน
แต่เขาบอกผู้เขียนว่าต้องการจะต้มให้เดือด
เมื่อไมโครเวฟตัดแล้ว
เขาจึงนำแก้วกาแฟออกมา เมื่อเขามองลงไปในถ้วย
เขาสังเกตว่าน้ำในถ้วยไม่เดือด
แต่ในทันใดน้ำในถ้วยก็พุ่งกระเด็นออกมาใส่หน้าเขาโดยที่ถ้วยก็ยังอยู่ในมือของเขา
จนกระทั่งเขาสลัดถ้วยออกจากมือแต่น้ำในถ้วยก็ได้กระเด็นขึ้นมาใส่หน้าของเขาแล้ว
เนื่องจากการสะสมของพลังงานที่มีอยู่ในน้ำ
ใบหน้าของเขาได้รับบาดเจ็บจากน้ำร้อน
และมีโอกาสสูงที่จะเกิดรอยแผลเป็น
และเขายังอาจจะสูญเสียความสามารถในการมองเห็นบางส่วนของนัยน์ตาข้างซ้ายอีก
ด้วย ขณะที่อยู่โรงพยาบาล แพทย์ที่ทำการรักษาบอกว่า
ตามหลักการแล้วเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายมาก
น้ำเปล่าอย่างเดียว
ไม่ควรจะนำไปให้ความร้อนด้วยเตาไมโครเวฟ
ถ้าจะให้ความร้อนกับน้ำด้วยวิธีนี้
ควรจะใส่บางอย่างลงไปในถ้วยเพื่อกระจายพลังงานในน้ำ
เช่นถุงกาแฟ
หรือไม้จิ้มฟันเล็กๆ และมันจะเป็นการปลอดภัยมากกว่า
ถ้าต้มน้ำด้วยวิธีปกติบนเตาธรรมดาหรือกาต้มน้ำไฟฟ้า
และนี่คือคำพูดของครูสอนวิทยาศาสตร์ที่เคยพูดไว้ในหัวข้อเรื่อง
ขอบคุณสำหรับคำเตือนในการใช้ไมโครเวฟ
ฉันเคยเห็นเหตุการณ์อย่างนี้มาแล้ว
มันเกิดจากปรากฎการณ์ของการให้พลังงานความร้อนสูงที่มหัศจรรย์
มันสามารถที่จะเกิดขึ้นใด้ตลอดเวลา
หากว่าน้ำถูกทำให้ร้อนและจะเกิดขึ้นได้ในภาวะการให้ความร้อนแบบนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
น้ำถูกให้ความร้อนเร็วกว่าที่ฟองอากาศจะสามารถถูกสร้างได้ทัน
ถ้าถ้วยนั้นใหม่มากๆ
มีโอกาศน้อยมากที่จะมีร่องรอยของการบิ่นกระเทาะ
หรือสีถลอกที่จะเป็นที่สร้างฟองอากาศ
เมื่อฟองอากาศไม่สามารถถูกสร้างเพื่อที่จะระบายความร้อนที่ถูกใส่เข้ามา
ของเหลวนั้นไม่เดือด
แต่ความร้อนที่ได้รับนั้นมากขึ้นจนเลยจุดเดือดไปแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือของเหลว
จะพุ่งออกมาแค่เพียงพอที่จะสร้างฟองอากาศที่
จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
และกระแทกของเหลวที่กำลังร้อนนั้นให้กระเด็น
ขึ้นมา ในการสร้างฟองอากาศอย่างรวดเร็วแบบนี้
เป็นหลักการเดียวกับน้ำอัดลมที่พลุ่งออกมาเมื่อเขย่าภาชนะก่อนเปิดนั่นเอง
By : น้องคิต   Date : 7 May 2002 00:12
|